วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism)

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism)

มาลิณี จุโฑปะมา (2554 : 81-82) ได้กล่าวถึงทฤษฎีพุทธิปัญญานิยมไว้ดังนี้
ทฤษฎีพุทธิปัญญานิยม (Cognitivism) เชื่อว่าหลักการจัดการเรียนรู้เป็นการจัดโครงสร้างใหม่ของการรับรู้และมโนคติ เน้นความสำคัญของกิจกรรมทางสมองเน้นความสามารถเฉพาะตัวของบุคคล ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ทฤษฎีพุทธิปัญญานิยมที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ได้แก่ทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt’s Theory) นักจิตวิทยาเกสตัลท์ (Gestalt Psychologists) ประกอบด้วย เวอร์ไทเมอร์ (Wertheimer) เป็นผู้นำมีเลอวิน (Lewin) คอฟฟ์กา (Koffka) และโคห์เลอร์ (Kohler) เป็นผู้ร่วมคณะ ซึ่งมีแนวคิดแตกต่างกับทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยมโดยกลุ่มเกสตัลท์เน้นการเรียนรู้ที่เกิดจากการรับรู้เป็นส่วนรวมหรือส่วนรวมมีค่ามากกว่าส่วนย่อยและการเชื่อมโยงประสบการณ์เก่าเข้ากับใหม่เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา ส่วนคำว่าเกสตัลท์ เป็นภาษาเยอรมันหมายถึงรู้แบบหรือแบบแผน โดยส่วนรวมมากกว่าที่จะมุ่งเน้นส่วนย่อยและเน้นว่า กระบวนการทางสมอง (Intellectual Process) มีบทบาทสำคัญมากในการเรียนรู้ โดยมีแนวคิดว่าการเรียนรู้เกิดขึ้น เนื่องมาจากการรับรู้สภาพการณ์โดยส่วนรวม ไม่ใช่เนื่องมาจากสิ่งเร้าใดสิ่งเร้าหนึ่งเพียงสิ่งเร้าเดียว และเมื่อผู้เรียนได้ปะทะกับสิ่งเร้า จะทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ แล้วสามารถสรุปหรือสร้างความคิดรวบยอดที่เกี่ยวกับสิ่งเร้า แล้วนำไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์อื่นๆได้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมว่าเป็นผลมาจากผู้เรียนมีการแก้ปัญหาและค้นพบ ข้อเท็จจริงในการแก้ปัญหา โดยเล็งเห็นความสัมพันธ์ ของข้อเท็จจริง เข้าใจว่าปัญหานั้นๆ เป็นผลรวมของอะไรบ้างเมื่อคนเราแก้ปัญหาของตนได้ จะบังเกิดความคิดความเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้น ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า การหยั่งเห็น” (Insight) ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาโดยการมองเห็นความสัมพันธ์ของรายละเอียดในปัญหานั่นอย่างทะลุ ปรุโปร่ง
กลุ่มเกสตัลท์ เชื่อว่าพฤติกรรมโต้ตอบของคนเราเป็นกลุ่มของพฤติกรรมที่มีลักษณะเป็นส่วนรวม ไม่แยกย่อยออกไป ดังนั้นการแก้ปัญหา หรือการรับรู้ของบุคคล จะเรียนจากการมองเห็นส่วนรวม หรือโครงร่างทั้งหมด แล้วนำไปสู่การเห็นความแตกต่างของส่วนย่อยต่างๆ เหล่านั้นและเริ่มมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งเร้าทั้งหมดชัดเจนขึ้น นั่นคือเกิดการเรียนรู้แล้ว ดังนั้นการเรียนรู้ตามแนวคิดของกลุ่มนี้ จึงหมายถึง การมองเห็นแนวทางใหม่ หรือการค้นพบ หรือเกิดความเข้าใจในสถานการณ์ หรือปัญหาที่คนเราประสบอยู่ทำให้เค้ามองเห็นช่องทางแก้ปัญหาในทันทีทันใด ซึ่งเรียกว่าเกิดการหยั่งเห็น (Insight) ขึ้นนั่นเอง การหยั่งเห็นจริงเป็นความเข้าใจในสาระสำคัญขององค์ประกอบนั้นว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร สมควรจะแก้ปัญหาตรงจุดไหนก่อนหลังขึ้นอย่างทันทีทันใด เป็นความคิดที่แวบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เห็นโครงร่างทั้งหมดของปัญหานั้น แล้วใช้เวลาใคร่ครวญอยู่ระยะหนึ่ง กลุ่มเกสตัลท์ ได้เน้นว่าการเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นเมื่อมีการคิดแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ให้ตกไป โดยอาศัยความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง หรือการหยั่งเห็น ไม่ใช่การตอบสนองต่อสิ่งเร้าแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
การทดลองของทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์
การทดลองของโคห์เลอร์ เป็นการทดลองที่อธิบายว่า การเรียนรู้เกิดจากการที่ผู้เรียนมีการหยั่งเห็นและคิดแก้ปัญหาได้ เขาทำการทดลองกับลิงชิมแพนซีที่ชื่อว่า สุลต่าน” (Sultan) โดยเขากับลิงใส่ไว้ในกรงและวางกล้วยไว้นอกกรง ในระยะที่ลิงเอื้อมด้วยมือเปล่าไม่ถึง พร้อมกับวางท่อนไม้ที่มีขนาดต่างกัน สั้นบ้าง ยาวบ้าง ท่อนสั้นอยู่ในกรง แต่ท่อนยาวอยู่ห่างออกไป เมื่อลิงเห็นกล้วยจึงพยายามแสดงพฤติกรรมต่างๆ เช่น เอื้อมมือหยิบ เขย่ากรง ปีนป่าย เพื่อจะเอากล้วยมากิน แต่ไม่สำเร็จ มันจึงหันมาลองใช้ไม้ท่อนสั้นที่อยู่ใกล้กรงเขี่ยกล้วย แต่ก็ยังเขี่ยไม่ถึง มันจึงวางไม้ท่อนสั้นลง และหยุดมองไปมองมาแล้วทำท่าทางครุ่นคิด แต่ทันใดนั้นลิงก็ลิงก็จับไม้ท่อนสั้นเขี่ยไม้ท่อนยาวมาใกล้ตัว และหยิบไม้ท่อนยาวเขี่ยกล้วยมากินได้ แสดงว่าลิงเกิดการหยั่งเห็น (Insight) ในการแก้ปัญหา คือ มองเห็นความสัมพันธ์ของไม้ท่อนสั้นและท่อนยาว และกล้วย การที่โคห์เลอร์จัดให้มีการทดลองเช่นนี้ เพราะเขาต้องการจะแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้นั้นขึ้นอยู่กับการจัดแบบแผนการคิดเสียใหม่ ลิงเคยมีประสบการณ์กับการใช้ไม้เขี่ยสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในกรง เมื่อมาพบสิ่งแวดล้อมใหม่สิงสามารถนำความรู้เดิมมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ได้คือ ใช้ไม้ท่อนสั้นเขี่ยไม้ท่อนยาว และใช้ไม้ท่อนยาวเขี่ยกล้วยอีกทีหนึ่ง
สรุปว่าทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้คือ การรับรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์เก่าและใหม่ ลิงไม่ได้แก้ปัญหาโดยการวางเงื่อนไขหรือการลองผิดลองถูกแต่แก้ปัญหาโดยการมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างไม่ 2 ท่อนกับกล้วย กลุ่มนี้เน้นการเรียนรู้จะต้องอาศัยประสบการณ์เดิมมาเชื่อมโยงกับปัญหานั้น เนื่องจากการจัดส่งแวดล้อมให้เข้ากับประสบการณ์เดิม
ทฤษฎีพุทธิปัญญานิยมหรือทฤษฎีความรู้ความเข้าใจกับการจัดการเรียนรู้
1. ก่อนดำเนินการสอน ควรชี้ให้ผู้เรียนเห็นถึงขอบข่าย จุดมุ่งหมาย และประสบการณ์ของบทเรียน เพื่อให้เห็นภาพรวมๆ หรือโครงสร้างของบทเรียนเสียก่อน
2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนโดยอาศัยความคิดความเข้าใจ
3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยการแก้ปัญหาด้วยตนเอง อันจะนำไปสู่การคิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น
4. สอนวิชาต่างๆ ให้สัมพันธ์กัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่กว้างขวาง และนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้
5. จัดบทเรียนจากง่ายไปหายาก และแบ่งบทเรียนเป็นตอนๆให้เหมาะสม
6. สอนให้สอดคล้องกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน

สยุมพร  ศรีมุงคุณ (https://www.gotoknow.org/posts/341272)  ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism) ไว้ว่า เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด  ซึ่งเป็นกระบวนการภายในของสมอง  นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องของพฤติกรรมที่เกิดจากกระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงเท่านั้น  การเรียนรู้ของมนุษย์มีความซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น  การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจากการสะสมข้อมูล  การสร้างความหมายและความสัมพันธ์ของข้อมูลและการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทำและการแก้ปัญหาต่างๆ  การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเอง  ทฤษฏีในกลุ่มนี้ที่สำคัญๆ มี  5  ทฤษฏี  คือ 
1. ทฤษฎีเกสตัลท์(Gestalt Theory)  แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้ คือ  การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดซึ่งเป็นกระบวนการภายในตัวมนุษย์  บุคคลจะเรียนรู้จากสิ่งเร้าที่เป็นส่วนรวมได้ดีกว่าส่วนย่อย  หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นกระบวนการคิด  การสอนโดยเสนอภาพรวมก่อนการเสนอส่วนย่อย  ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีประสบการณ์มากและหลากหลายซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนสามรถคิดแก้ปัญหา  คิดริเริ่มและเกิดการเรียนรู้แบบหยั่งเห็นได้
2. ทฤษฎีสนาม (Field Theory)  แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้ คือ  การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีแรงจูงใจหรือแรงขับที่จะกระทำให้ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตนต้องการ  หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้เน้นการเข้าไปอยู่ใน โลกของผู้เรียน  การสร้างแรงจูงใจหรือแรงขับโดยการจัดสิ่งแวดล้อมทั้งทางกายภาพและจิตวิทยาให้ดึงดูดความสนใจและสนองความต้องการของผู้เรียนเป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
3. ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory)  ของทอลแมน ( Tolman)  แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้คือ การเรียนรู้เกิดจากการใช้เครื่องหมายเป็นตัวชี้ทางให้แสดงพฤติกรรมไปสู่จุดหมายปลายทาง  หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้เน้นการสร้างแรงขับและหรือแรงจูงใจให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายใดๆ  โดยใช้เครื่องหมาย  สัญลักษณ์หรือสิ่งอื่นๆ ที่เป็นเครื่องชี้ทางควบคู่ไปด้วย
4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา(Intellectual Development Theory)  นักคิดคนสำคัญของทฤษฏีนี้มีอยู่  2  ท่าน  ได้แก่  เพียเจต์(Piaget)  และบรุนเนอร์(Bruner)  แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้เน้นเรื่องพัฒนาการทางสติปัญญญาของบุคคลที่เป็นไปตามวัยและเชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากระบวนการการค้นพบด้วยตนเอง  หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้  คือ  คำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนและจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการนั้น  ให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมมากๆ  ควรเด็กได้ค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง  ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระและสอนการคิดแบบรวบยอดเพื่อช่วยส่งงเสริมความคิดสร้างสรรค์ของผุ้เรียน
5. ทฤษฏีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย(A Theory of Meaningful Verbal Learning)  ของออซูเบล(Ausubel)  เชื่อว่า  การเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน  หากการเรียนรู้นั้นสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รู้มาก่อน  หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้  คือ  มีการนำเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์  หรือกรอบแนวคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่ผู้เรียนก่อนการสอนเนื้อหาสาระนั้นๆ  จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาสาระนั้นอย่างมีความหมาย

เลิศชาย ปานมุข (http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?topic=2874.0 ;wap2)  ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยมไว้ดังนี้ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism) เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด  ซึ่งเป็นกระบวนการภายในของสมอง  นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องของพฤติกรรมที่เกิดจากกระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงเท่านั้น การเรียนรู้ของมนุษย์มีความซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น  ทฤษฏีในกลุ่มนี้ที่สำคัญๆ มี  5  ทฤษฏี  คือ
1. ทฤษฎีเกสตัลท์ (Gestalt Theory)  แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้ คือ  การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดซึ่งเป็นกระบวนการภายในตัวมนุษย์  บุคคลจะเรียนรู้จากสิ่งเร้าที่เป็นส่วนรวมได้ดีกว่าส่วนย่อย
2. ทฤษฎีสนาม (Field Theory)  แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้ คือ  การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีแรงจูงใจหรือแรงขับที่จะกระทำให้ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตนต้องการ
3. ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) ของทอลแมน (Tolman) แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้ คือ การเรียนรู้เกิดจากการใช้เครื่องหมายเป็นตัวชี้ทางให้แสดงพฤติกรรมไปสู่จุดหมายปลายทาง
4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory)  นักคิดคนสำคัญของทฤษฏีนี้มีอยู่  2  ท่าน  ได้แก่  เพียเจต์ (Piaget)  และบรุนเนอร์ (Bruner)  แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้เน้นเรื่องพัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลที่เป็นไปตามวัยและเชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากระบวนการการค้นพบด้วยตนเอง
5. ทฤษฏีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (A Theory of Meaningful Verbal Learning) ของออซูเบล (Ausubel) เชื่อว่า  การเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน  หากการเรียนรู้นั้นสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รู้มาก่อน  หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้  คือ  มีการนำเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์  หรือกรอบแนวคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่ผู้เรียนก่อนการสอนเนื้อหาสาระนั้นๆ  จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาสาระนั้นอย่างมีความหมาย



สรุป
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด  ซึ่งเป็นกระบวนการภายในของสมอง  การเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องของพฤติกรรมที่เกิดจากกระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงเท่านั้น แต่การเรียนรู้ของมนุษย์มีความซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น  การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจากการสะสมข้อมูล  การสร้างความหมายและความสัมพันธ์ของข้อมูลและการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทำและการแก้ปัญหาต่างๆ  การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเอง



ที่มา
มาลิณี จุโฑปะมา.  (2554).  จิตวิทยาการศึกษา Educational Psychology.  บุรีรัมย์ : เรวัตการพิมพ์.
สยุมพร  ศรีมุงคุณ. ( https://www.gotoknow.org/posts/341272) .ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้. [online].
            เข้าถึงเมื่อ 17 กรกฎาคม 2561
เลิศชาย ปานมุข.http://www.banpraknfe.com/webboard/index.phptopic=2874.0;wap2). 
            ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ - GotoKnow. [Online] เข้าถึงเมื่อ 17 กรกฎาคม 2561

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ

การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ   (Role Playing)                   วราภรณ์  ศุนาลัย  ( 2536, หน้า 35 อ้างอิงใน กรมวิชาการ , 2543 ข ...